เที่ยวคิวชู ด้วยรถไฟและบัส
เที่ยวคิวชู (Kyushu) เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะหลักในประเทศญี่ปุ่น ภูมิภาค คิวชู แห่งนี้มีสภาพอากาศที่ค่อนข้างอบอุ่นกว่าเกาะทางทิศเหนือ และยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติ อาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวอันงดงาม มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ คิวชูตอนเหนือ นี่จึงเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวนมาก ส่งผลให้ปัจจุบันมีไฟลท์เที่ยวบินตรงจากกรุงเทพ ประเทศไทยมายังจังหวัดฟุกุโอกะซึ่งเป็นเมืองหลวงของภูมิภาค คิวชู
และในวันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับเรื่องราวทั้ง 4 จังหวัดในภูมิภาค คิวชู ได้แก่ ฟุกุโอกะ (Fukuoka) มิยาซากิ (Miyazaki) คุมาโมโต้ (Kumamoto) และโออิตะ (Oita) ซึ่งทริปนี้เราใช้เวลาทั้งหมด 5 วัน ในการตะลุยสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของแต่ละแห่ง โดยที่คุณเองก็สามารถตามรอยรูท คิวชู ดังกล่าวนี้ได้ค่ะ
– Day 1 – คิวชู
รู้จักกับรถไฟสุดหรู ขบวนใหม่ล่าสุดของ คิวชู 36+3!
สำหรับทริปแรก คิวชู ในครั้งนี้เราจะขอเปิดตัวด้วยการแนะนำรถไฟขบวนใหม่ล่าสุดของ คิวชู กันก่อนดีกว่าค่ะ โดยรถไฟขบวนนี้มีชื่อว่า “36+3” หลายคนอาจจะสงสัยใช่มั้ยคะว่าทำไมชื่อรถไฟขบวนนี้ถึงเป็นตัวเลข สำหรับ 36 นั้นหมายถึงเกาะคิวชูซึ่งมีความกว้างใหญ่เป็นอันดับ 36 ของโลก และเมื่อนำไปบวกกับเลข 3 จะกลายเป็น 39 ซึ่งถ้าอ่านเป็นภาษาญี่ปุ่นจะออกเสียงว่า “San-Kyu” เป็นเสียงเพี้ยนมาจากคำว่า “Thank You” หรือเป็นการแสดงความขอบคุณผู้โดยสารนั่นเองค่ะ
จุดเด่นของรถไฟขบวนนี้คือเน้นเรื่องความหรูหรา และการตกแต่งที่บอกได้ว่ามีเอกลักษณ์และมีความคลาสสิคสุด ๆ ขนาดเราเองเป็นคนที่ไม่ค่อยอินกับรถไฟเท่าไหร่ เพียงได้เห็นรถไฟขบวนนี้ถึงกับร้องว้าวเช่นเดียวกันค่ะ ภายในมีทั้งโซนคาเฟ่ให้ได้ซื้อของทานเล่นระหว่างทาง บางโบกี้มีการตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นโดยใช้เสื่อทาทามิของจริง โดยที่คุณต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าไปโซนนั้นด้วยนะคะ
สำหรับเส้นทางรถไฟขบวนนี้จะวิ่งวนภูมิภาค คิวชู ทั้งหมด และจะวิ่งเพียงวันละเที่ยวเท่านั้น! โดยขยับไปจังหวัดละวัน เช่น จากวันพฤหัสบดี เริ่มที่เมือง Hakata → Kumamoto → Kagoshima-chuo และวันศุกร์ก็จะเริ่มจากเมือง Kagoshima-chuo → Miyazaki จึงทำให้รถไฟขบวนนี้จองค่อนข้างยากค่ะ เพราะเป็นรถไฟที่นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นเองก็ฝันอยากลองมานั่งสักครั้ง ไฮไลท์ของทริป คิวชูตอนเหนือ เลยแหละ
สำหรับรถไฟขบวนนี้สามารถใช้ JR Pass ได้ แต่จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในส่วนของอาหารบนรถไฟค่ะ และราคาที่นั่งของแต่ละโซนก็จะแตกต่างกันไป โดยจะเริ่มตั้งแต่ 13,500 เยน ~ 30,000 เยน / คน ใครที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากหน้าเว็บไซต์ https://www.jrkyushu-36plus3.jp/ (ภาษาญี่ปุ่น)
เริ่มเส้นทาง คิวชู จากจังหวัด Fukuoka ไปจังหวัด Kumamoto
สำหรับใครที่อยากเดินทางข้ามจังหวัดล่ะก็แนะนำให้ออกเดินทางตั้งแต่ตอนเช้าดีกว่าค่ะ โดยครั้งนี้เราได้เดินทางจากจังหวัด Fukuoka ไปยังจังหวัด Kumamoto ด้วยรถไฟชิงคันเซ็น “Kyushu Shinkansen Series 800” ที่มีจุดเด่นก็คือ คุณจะได้ตื่นตาตื่นใจไปกับเทคโนโลยีสุดล้ำกับรถไฟความเร็วสูง และการออกแบบภายในรถไฟที่ใส่เอกลักษณ์ดั้งเดิมของญี่ปุ่น เช่น เบาะที่ทอพิเศษด้วยดีไซน์อันหรูหรา
ถไฟขบวนนี้ใช้เวลาเพียง 40 นาทีเท่านั้นก็จะมุ่งหน้าพาคุณไปสู่จังหวัด Kumamoto ที่มีมาสคอตเจ้าหมีดำแสนขี้เล่นชื่อดังอย่าง “คุมะมง” รอต้อนรับ นอกจากนี้ ภายในรถไฟยังมี Free Wi-Fi ให้บริการที่ทำให้คุณเพลิดเพลินตลอดเดินทางอีกด้วยค่ะ
ปัจจุบัน ทางชิงคันเซ็นได้ออกกฎใหม่ก็คือ ที่นั่งแบบ Non-reserved Seat จะไม่สามารถนำสัมภาระขนาดใหญ่ขึ้นเกิน 160 เซนติเมตรขึ้นมาได้ ดังนั้น ผู้โดยสารคนไหนที่มีสัมภาระขนาดใหญ่จะต้องทำการจองที่วางสำภาระล่วงหน้าค่ะ เที่ยว คิวชู หลายวันอย่าลืมน้า หากผู้โดยสารทำการจองที่นั่งแบบ Reserved Seat จะไม่เสียค่ากระเป๋า แต่หากสัมภาระนั้นมีขนาดเกิน 160 เซ็นติเมตร โดยเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
และถ้าหากมีผู้โดยสารคนใดเนียนขึ้นไปใช้บริการที่นั่งแบบ Non-reserved Seat พร้อมกระเป๋าใบใหญ่ล่ะก็อาจถูกนายสถานีตรวจ และให้เปลี่ยนที่นั่งพร้อมจ่ายค่ากระเป๋าเพิ่มเติมใบละ 1,000 เยนได้ค่ะ เพราะฉะนั้นอย่าเนียนเด็ดขาดเลยนะคะ
สัญลักษณ์ของจังหวัดกับปราสาท Kumamoto
เมื่อเดินทางมาถึงจังหวัด Kumamoto แล้ว สถานที่แรกที่ต้องไปเยือนก็คงหนีไม่พ้นปราสาทคุมาโมโต้ (Kumamoto Castle) หลายคนอาจทราบชื่อปราสาทแห่งนี้เป็นอย่างดีจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ซึ่งส่งผลให้ปราสาทได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก เราไปดูกันดีกว่าค่ะว่าปัจจุบันปราสาท Kumamoto ที่ว่านี้ซ่อมไปถึงไหนกันแล้ว
ปราสาท Kumamoto เป็นปราสาทที่ได้ชื่อว่าใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของสุดยอดปราสาทญี่ปุ่น โดยมีพื้นที่กว้างใหญ่กว่า 980,000 ตารางเมตร จุดเด่นคือกำแพงหินของปราสาทคุมาโมโตะนั้น ด้านล่างมีส่วนโค้งเว้าทำให้ยากต่อการปีน อย่างไรก็ตามยิ่งปีนสูงขึ้นไปความชันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่สามารถปีนข้ามกำแพงไปได้ ในอดีตจึงเคยได้รับการกล่าวขานว่าเป็นปราสาทที่ไม่มีวันแตกพ่าย เรียกได้ว่าปราสาท Kumamoto นั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่นอย่างแท้จริง
- เวลาเปิดให้บริการ : 8.30 น. – 17.00 น. (เวลาอาจเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล)
- การเดินทางสำหรับผู้ไม่มีรถยนต์ : จากสถานี JR Kumamoto นั่งรถรางประมาณ 17 นาที หรือ จากสถานี JR Kumamoto นั่งรถบัสประมาณ 10 นาที
- โลเคชั่น Kumamoto Castle : https://goo.gl/maps/BDFqTGMs3bMcnQNf7
ช็อปปิ้งย่านเมืองเก่าใกล้ปราสาท ณ Josaien
ซากุระโนะ บาบะ โจไซเอ็น (Sakurano Baba Josaien) หรือชื่อย่อ ๆ ที่ใคร ๆ ก็เรียกกันว่า โจไซเอ็น (Josaien) เป็นย่านเมืองเก่าที่จำลองบรรยากาศในสมัยเอโดะ โดยที่นี่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาของปราสาท Kumamoto ใช้เวลาเดินจากปราสาทเพียง 5 นาทีเท่านั้น โดยคุณสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศย้อนยุคราวกับหลุดไปอยู่ในหนังญี่ปุ่นโบราณเลยล่ะค่ะ
ที่นี่มีสินค้าที่ระลึกและขนมแปลก ๆ น่าทานวางจำหน่ายอยู่มาก รวมไปถึงร้านอาหารหลายประเภท และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือสินค้ามาสคอตคุมะมงก็มีอีกเพียบ! หากวันไหนโชคดีก็จะได้พบกับมาสคอตแสนน่ารัก หรือการแสดงของเหล่านักรบ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของจังหวัด Kumamoto บริเวณลานกว้างอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นย่านที่เหมาะสำหรับแวะเวียนมาเดินเล่นมาก ๆ เลยล่ะค่ะ
- เวลาเปิดให้บริการ : ร้านขายของ 9:00 น. – 19:00 น. และร้านอาหาร 11:00 น. – 22:00 น.
- การเดินทางสำหรับผู้ไม่มีรถยนต์ : จากสถานีคุมาโมโต้ (Kumamoto Station) นั่งรถ Kumamoto Loop Bus มาลงที่ป้าย Sakura no Baba หรือเดินจากปราสาท Kumamoto ประมาณ 5 นาที
- โลเคชั่น Kumamoto Castle : https://goo.gl/maps/AhPzB9F1p4ciyUpx9
มุ่งหน้าสู่จังหวัด Miyazaki แวะสักการะศาลเจ้า Amanoiwato และชมถ้ำเรียงหิน Amanoyasukawara
ถัดจากจังหวัด Kumamoto แล้ว อันดับต่อไปเราจะมุ่งไปสู่จังหวัด Miyazaki กันค่ะ โดยจุดหมายปลายทางของเราก็คือ ศาลเจ้าอะมาโนะอิวาโตะ (Amanoiwato) ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัด Miyazaki ตั้งอยู่ในเมือง Takachiho
เมื่อมาถึงจะสัมผัสได้ถึงความสงบและสวยงามของศาลเจ้าแห่งนี้ และไฮไลท์ไม่ได้มีเพียงแค่ตัวศาลเจ้าเท่านั้นนะคะ เพราะบริเวณนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากศาลเจ้าก็คือ ถ้ำอะมาโนะยาสุคาวาระ (Amanoyasukawara) โดยที่นี่มีตำนานเล่าขานว่า ถ้ำแห่งนี้เป็นสถานที่ที่เหล่าเทพใช้ในการประชุมหารือวิธีการที่จะทำให้เทพอะมาเทระสึ (Amaterasu) หรือเทพแห่งดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นเทพสำคัญของศาสนาชินโต หนึ่งในศาสนาหลักของญี่ปุ่นที่กำลังซ่อนตัวอยู่ยอมออกมาจากถ้ำ
ข้อสังเกตก็คือบริเวณถ้ำแห่งนี้มีหินนับพันกองเรียงรายอยู่ตลอดทางเดิน เพราะที่นี่มีความเชื่อกันว่าถ้าเรียงหินโดยไม่ให้ล้มได้ สิ่งที่ขอพรไว้จะสมปรารถนา จึงเต็มไปด้วยกองหินมากมายจากผู้แวะเวียนมาสักการะที่นี่
- เวลาเปิดให้บริการ : 8.30 น. – 17.00 น. (เวลาทำการของฝ่ายธุรการศาลเจ้า)
- การเดินทางสำหรับผู้ไม่มีรถยนต์ : หากเดินทางมาจากจังหวัด Kumamoto ให้นั่งรถบัสวิ่งบนทางด่วน High Way Bus ของ Miyazaki Kotsu บริเวณหน้าสถานีคุมาโมโต้ (Kumamoto Station) โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง ไปลงที่ป้ายรถบัส Takachiho Bus Center จากนั้นเปลี่ยนเป็นรถบัสทั่วไป นั่งประมาณ 20 นาทีไปลงที่ป้ายรถบัส Amano Iwato
- โลเคชั่น Amanoiwato Shrine : https://goo.gl/maps/zLR3py5GcDGvsLhd7
- โลเคชั่น Amanoyasukawara Cave : https://goo.gl/maps/977unPt6r7JGAbHE7
โรงแรมใหม่ดีไซน์โมเดิร์น Solest Takachiho Hotel แวะชมการแสดงร่ายรำ Takachiho Kagura
คืนนี้เราจะไปพักกันที่โรงแรม Solest Takachiho Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกับศาลเจ้าทาคาชิโฮะ (Takachiho) กันค่ะ โดยโรงแรมที่ว่านี้ตกแต่งในสไตล์ทันสมัย ดีไซน์มีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์อย่างมาก ห้องพักได้ถูกออกแบบมาอย่างดีเข้ากับบรรยากาศสไตล์โมเดิร์น ให้ความรู้สึกเหมือนพักในคอนโดมีเนียมหรู ที่สำคัญโรงแรมแห่งนี้ยังเปิดให้บริการได้ไม่นาน อุปกรณ์ทุกอย่างจึงสะอาดและใหม่มากค่ะ แม้โรงแรมนี้จะไม่มีออนเซ็นให้ใช้บริการ แต่ด้วยการให้บริการและคุณภาพของโรงแรมจะทำให้คุณได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่มอย่างแน่นอน
สำหรับคืนนี้เราก็จะมีกิจกรรมกันต่อที่ศาลเจ้า Takachiho ซึ่งสามารถเดินเท้าจากโรงแรมได้โดยใช้เวลาเพียง 5-10 นาทีเท่านั้น นั่นก็คือ การแสดงร่ายรำทาคาชิโฮะ คางุระ (Takachiho Kagura) ซึ่งเป็นการแสดงที่จัดขึ้นทุกคืนในหอคางุระภายในศาลเจ้า โดยการแสดง 1 รอบ ใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เป็นการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานเทพเจ้าของญี่ปุ่นผ่านการร่ายรำแบบญี่ปุ่นโบราณ
สำหรับใครที่สนใจจะไปชมการแสดงร่ายรำนี้ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตำนานและเทพเจ้าของเมือง Takachiho กันไปก่อนนะคะ มิฉะนั้นอาจจะรู้สึกเบื่อได้ เพราะเรื่องราวเป็นละครใบ้ที่เน้นการร่ายรำ จึงอาจจะเข้าใจค่อนข้างยากสักหน่อย
- เวลาเปิดให้บริการ : 7.30 น. – 17.30 น. (เวลาทำการของฝ่ายธุรการศาลเจ้า)
- โลเคชั่น Takachiho Shrine : https://goo.gl/maps/wvhsMSsXN9nFbqw88
- โลเคชั่น Solest Takachiho Hotel : https://goo.gl/maps/wjbio6AoVFPwLRhJA
– Day 2 – คิวชู
พายเรือลอดน้ำตก สัมผัสกับธรรมชาติ ณ หุบเขา Takachiho
เช้าวันนี้เราก็จะยังอยู่กันที่จังหวัด Miyazaki ค่ะ โดยจุดหมายแรกของเราในวันนี้ก็คือหุบเขาทาคาจิโฮะ (Takachiho Gorge) ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของจังหวัดนี้เป็นอย่างมาก คุณจะได้สัมผัสกับธรรมชาติอันเขียวขจีท่ามกลางหุบเขาที่มีความสูงถึง 80 เมตรกันเลยทีเดียว และถ้าหากคุณได้ไปเยือนที่นั่นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงล่ะก็จะได้เห็นทิวทัศน์ของใบไม้เปลี่ยนสีสวย ๆ เต็มไปหมด
หากได้มาที่นี่ กิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเลยคือการพายเรือค่ะ เรือหนึ่งลำสามารถนั่งได้สูงสุด 3 คน ระหว่างที่เพลิดเพลินกับการพายเรืออยู่ก็สามารถให้อาหารนกเป็ดน้ำได้ด้วยนะคะ น้อง ๆ รู้งานกันสุด ๆ เพียงแค่เราถือถุงอาหารไปก็รีบว่ายมารุมกันเต็ม
ญลักษณ์ของหุบเขา Takachiho แห่งนี้ โดยน้ำตกดังกล่าวนั้นมีความสูงถึง 17 เมตรค่ะ เวลาพายต้องควบคุมทิศทางให้ดีนะคะ กะระยะไม่ดีงานนี้มีเปียกแน่นอนค่ะ
- การเดินทางสำหรับผู้ไม่มีรถยนต์ : จากสถานีโนเบะโอกะ (Nobeoka Station) โดยนั่งรถบัสประจำทางใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งลงที่ป้าย Takachiho หรือเริ่มจากสถานีมิยาซากิ (Miyazaki Station) นั่งรถบัสวิ่งบนทางด่วน High Way Bus มาลงที่ Takachiho เลยก็ได้ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาทีค่ะ (รถบัสประเภทนี้มีเฉพาะบางฤดูกาลเท่านั้น และจำเป็นต้องจองที่นั่งล่วงหน้า)
- โลเคชั่น Takachiho Gorge : https://goo.gl/maps/k63TMWcCeYw1URMCA
ใกล้ชิดกับภูเขาไฟ Aso ทัศนียภาพที่งดงามราวกับภาพวาด ณ ทุ่งหญ้า Kusasenri
หลังจากที่เราไปชมวิวธรรมชาติน้ำตกกันแล้ว อันดับต่อไปเราจะกลับไปยัง Kumamoto เพื่อไปต่อกันที่ทุ่งหญ้าคุสะเซ็นริ (Kusasenri) สำหรับทุ่งหญ้าที่ว่านั้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัด Kumamoto เลยล่ะค่ะ เพราะเป็นจุดชมวิวภูเขาไฟ Aso ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัด และเราต้องขอรับประกันความสวย ยิ่งใหญ่อลังการของที่นี่จนเราให้เป็น Top สถานที่ท่องเที่ยวอันดับ 1 ในใจของทริปนี้เลยล่ะค่ะ
สำหรับการเดินทางไปยังทุ่งหญ้า Kusasenri ที่เหมาะที่สุดคือการเช่ารถยนต์ส่วนตัวค่ะ เพราะเป็นเส้นทางที่เหมาะกับ Road Trip อย่างแท้จริง ยิ่งในช่วงฤดูใบไม้ร่วงถึงฤดูหนาว ทุ่งหญ้าอันเขียวขจีจะเปลี่ยนสีกลายเป็นสีเหลืองทองตัดกับวิวพาโนรามาของภูเขาไฟ บอกเลยว่าสวยมาก ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนว่าอยู่ในยุโรปมากกว่าญี่ปุ่นเสียอีกค่ะ ได้มาเห็นของจริงแล้วประทับใจสุด ๆ
แต่น่าเสียดายที่ในครั้งนี้เราไม่สามารถนั่ง Rope Way เข้าไปดูภูเขาไฟใกล้ ๆ ได้ เลยเปลี่ยนเป็นแวะทานอาหารตรงจุดพักรถแทน สำหรับเมนูที่เราเลือกก็คือ “ข้าวหน้าเนื้อวัว” ที่ใช้เนื้ออย่างดี นุ่มลิ้นกินแล้วฟินสุด ๆ
เขียวขจีกับช่วงเปลี่ยนสีแล้วค่ะ เพราะคุณจะได้สัมผัสกับวิวที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลย ที่สำคัญ ที่นี่ยังมีบริการให้ขี่ม้าอีกด้วยค่ะ และหากใครได้ไปเยือนช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อนที่ทุ่งหญ้ายังเป็นสีเขียวล่ะก็ วันไหนโชคดีเราจะได้เจอฝูงวัวหรือฝูงม้าเล็มหญ้าอยู่ริมบึงน้ำอีกด้วยนะคะ
- การเดินทางสำหรับผู้ไม่มีรถยนต์ : นั่งรถบัสสาย Mt.Aso ไปลงที่ป้าย Kusasenri
- โลเคชั่นทุ่งหญ้า Kusasenri : https://goo.gl/maps/XtCyokRv7EMoYWsT7
จุดชมวิวพาโนรามาหลักล้าน Daikanbo และ Nishi Yunouraenchi Observation Deck
ทริปวันนี้เราจะยังไม่จบกับการพาทุกคนไปชมวิวสวย ๆ พร้อมกันค่ะ หลังจากที่เต็มอิ่มกับทุ่งหญ้า Kusasenri แล้วอันดับต่อไปเราจะพาไปรู้จักกับจุดชมวิวพาโนรามาที่ต้องบอกเลยว่าคุ้มค่ากับการมามากที่สุด ณ ยอดเขาไดคันโบ (Daikanbo)
Daikanbo เป็นจุดชมวิวที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ของจังหวัด Kumamoto เลยค่ะ แต่ใครที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวอาจจะลำบากสักเล็กน้อย เพราะการเดินทางมาถึงที่นี่จำเป็นต้องนั่งแท็กซี่หรือขับรถไปเองเท่านั้น และเส้นทางก็ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงเป็นอย่างดี มีที่จอดรถ ร้านอาหารให้บริการและถนนที่เราสามารถเดินเข้าถึงได้เลย นอกจากช่วงกลางวันแล้วที่นี่ยังเป็นจุดชมดาวยอดนิยมในเวลากลางคืนอีกด้วย
บรรยากาศให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกเทพนิยายมาก เพราะวิวทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งหญ้าสีเหลืองทองกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา จะแวะถ่ายรูปตรงไหนก็สวย และเมื่อเราเดินไปถึงจุดสูงสุดจะต้องตะลึงอ้าปากค้างกับความยิ่งใหญ่อลังการของวิวพาโนรามา 360 องศาที่สวยสุดๆ! นอกจากนี้ บริเวณนี้ยังเป็นจุดที่คนในพื้นที่นิยมมาเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ เครื่องบินบังคับ หรือการเล่นพาราไกลดิ้งอีกด้วยค่ะ
นอกจากที่ Daikanbo แล้วบริเวณใกล้เคียงยังมีจุดชมวิวอีกแห่งที่เป็นเหมือน Unseen และเป็นอีกหนึ่ง Top สถานที่ท่องเที่ยวของเราค่ะ นั่นก็คือจุดชมวิวนิชิยูโนะอุระเอนจิ (Nishi Yunouraenchi Observation Deck)
หรับ Nishi Yunouraenchi Observation Deck สามารถขับรถจาก Daikanbo ได้โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที ด้านหน้าของบริเวณจุดชมวิวที่นี่จะเป็นร้านอาหาร และในส่วนของด้านหลังจะเป็นทางเดินไปสู่จุดชมวิว แต่แค่ตรงส่วนของทางเดินก็ชนะขาดแล้วล่ะค่ะ นึกว่าอยู่ในโลกเทพนิยายจริง ๆ ถ้าเป็นในช่วงเช้าวันที่อากาศดี ๆ ก็มีโอกาสได้ชมทะเลหมอกอีกด้วย งานนี้ใครที่หาจุดชมวิวแต่ยังไม่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเท่าไหร่ล่ะก็รีบจดลิสต์ชื่อที่นี่ไว้เลยค่ะ
- โลเคชั่น Daikanbo : https://goo.gl/maps/SyeM8dqT8jGpifRr6
- เวลาเปิดให้บริการ Nishi Yunouraenchi Observation Deck : 10:00 น. – 17:00 น.
- โลเคชั่น Nishi Yunouraenchi Observation Deck : https://goo.gl/maps/YzaTer8sFcXc7sVZ8
พักผ่อนที่เมืองออนเซ็นเก่าแก่กับ Tsuetate Onsen
เต็มอิ่มกับไปทั้งวันแล้วกับการได้ชมทิวทัศน์สวย ๆ แบบนี้ อันดับต่อไปเราจะไปพักค้างแรมกันที่เมืองออนเซ็นเก่าที่มีชื่อว่า ออนเซ็นสึเอทาเตะ (Tsuetate Onsen) ในทางตอนเหนือของจังหวัด Kumamoto กันค่ะ โดยเราได้เลือกโรงแรมที่มีชื่อว่า Hizenya ซึ่งเป็นโรงแรมประเภทเรียวกังหรือห้องพักแบบญี่ปุ่นสุดหรูคอยให้บริการ
จุดเด่นของย่านเมืองออนเซ็นนี้คือมีความเก่าแก่และมีประวัติอันยาวนานมากกว่า 1,800 ปี ที่นี่มีน้ำออนเซ็นที่มีอุณหภูมิสูงถึง 98 องศาซึ่งหาได้ยากในประเทศญี่ปุ่น เอกลักษณ์ของน้ำออนเซ็นคือมีสีใส ไม่มีกลิ่น มีสัมผัสที่อ่อนโยนเนื่องจากมีสภาพความเป็นกรดค่อนข้างอ่อน นอกจากภายในโรงแรมแต่ละแห่งจะมีออนเซ็นให้บริการแล้ว คุณยังสามารถเปลี่ยนบรรยากาศนั่งรถรับ-ส่งฟรีของทางโรงแรมไปใช้บริการโรงออนเซ็นได้อีกด้วยค่ะ
สำหรับโรงออนเซ็นที่ว่านั้นอยู่ห่างจากที่พักประมาณ 1 กิโลเมตรเท่านั้น เราสามารถขึ้นรถบัสรับ-ส่งฟรี โดยรถบัสจะเวียนจอดตามแต่ละโรงแรมตามลำดับ จุดเด่นของโรงออนเซ็นคือมีบ่อออนเซ็นหลายประเภท ที่สำคัญยังมีออนเซ็น Private สำหรับใครที่มากับคู่รักหรือครอบครัวและอยากแช่ด้วยกันอีกด้วยค่ะ (ต้องจองกับทางโรงแรมล่วงหน้า)
- โลเคชั่น Tsuetate Onsen : https://goo.gl/maps/RniwrfYhbc8D8DZy5
– Day 3 – คิวชู
ไปลุยต่อที่จังหวัด Oita ชมน้ำตกไนแองการาของญี่ปุ่นกับน้ำตก Harajiri
ตื่นเช้ามาเราก็เริ่มมุ่งสู่จุดหมายต่อไปเลยค่ะ นั่นก็คือจังหวัด Oita นั่นเอง หากพูดถึงชื่อจังหวัดนี้หลายคนคงนึกถึงเมืองออนเซนชื่อดังอย่าง เบบปุ (Beppu) แต่ก่อนอื่นเลย เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับน้ำตกที่ติดอันดับ 1 ใน 100 น้ำตกที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น จนได้รับสมญานามว่าเป็น “น้ำตาไนแองการาของญี่ปุ่น” กันก่อนดีกว่า โดยน้ำตกนี้มีชื่อว่า น้ำตกฮาระจิริ (Harajiri Waterfalls)
น้ำตก Harajiri เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่มีความกว้าง 120 เมตร ความสูง 20 เมตร และยังอายุยาวนานกว่า 90,000 ปีเลยทีเดียว น้ำตกนี้เกิดจากการไหลรวมกันของลาวาในตอนที่ภูเขาไฟ Aso ปะทุเมื่อสมัยอดีต หลายคนอาจคิดว่าการไปเที่ยวน้ำตกจะต้องเข้าป่า เดินทางลำบาก เป็นสายลุยกันหน่อยใช่ไหมคะ แต่ถ้าคุณได้มาเยือนที่น้ำตก Harajiri แห่งนี้แล้วบอกเลยว่าคิดผิดค่ะ เพราะเดินทางง่ายสุด ๆ สาว ๆ สามารถแต่งตัวสวย ๆ จัดเต็มเตรียมถ่ายรูปได้เลย
ที่ตั้งของน้ำตก Harajiri ตั้งอยู่บนที่ราบ Ogata ติดกับจุดพักรถ สำหรับการเดินทางครั้งนี้เรานั่งรถส่วนตัวมาจากที่พักในเมือง Kumamoto ใช้เวลาราว ๆ 1 ชั่วโมงครึ่งค่ะ เมื่อเรามาถึงจุดหมายปลายทางจะพบกับทิวทัศน์ของทุ่งหญ้าท้องนาที่ดูแล้วไม่น่าจะมีน้ำตกมาอยู่แถวนี้เลยด้วยซ้ำ
เมื่อเราเดินเข้าไปใกล้จะได้ยินเสียงน้ำตกดังอย่างยิ่งใหญ่ แล้วก็ไม่ผิดหวังกับความอลังการครั้งนี้จริง ๆ ค่ะ น้ำตกโค้งมนสวย แถมบริเวณใกล้ ๆ ยังมีสะพานแขวนทาคิมิบาชิ (Takimibashi) ให้เดินเล่นอีกด้วย สำหรับใครที่อยากลงไปชมน้ำตกใกล้ ๆ ด้านล่างล่ะก็ต้องเดินดี ๆ นะคะ เพราะหินค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะสาว ๆ สายแฟชั่นที่สวมรองเท้าบูทหรือส้นสูง
- การเดินทางสำหรับผู้ไม่มีรถยนต์ : จากสถานีโออิตะ (Oita Station) นั่งรถไฟไปลงที่สถานีโอกาตะ (Ogata Station) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นนั่งแท็กซี่ต่อประมาณ 10 นาที
- โลเคชั่นน้ำตก Harajiri : https://goo.gl/maps/PCvsRrh9v9Uo3RJ17
นั่งรถไฟน้องหมาคุโระจังแสนน่ารัก เหมาะสำหรับครอบครัวกับ Aso Boy
เรามาเปลี่ยนบรรยากาศพูดถึงรถไฟขบวนเด่น ๆ ของภูมิภาคคิวชูกันบ้างดีกว่าค่ะ อันดับต่อไปเราจะนั่งรถไฟไปสู่เมือง Beppu กันด้วยรถไฟที่มีชื่อว่า Aso Boy!
คาดว่าหลายคนอาจจะยังไม่คุ้นชื่อกับรถไฟ Aso Boy! กันเท่าไหร่ สำหรับใครที่มีแพลนไปเที่ยวทั้งจังหวัด Kumamoto และจังหวัด Oita ล่ะก็ เราขอแนะนำให้คุณเดินทางด้วยรถไฟขบวนนี้เลยค่ะ เพราะเป็นรถไฟขบวนพิเศษที่เต็มไปด้วยความน่ารัก แถมยังวิ่งวันละ 2 รอบเท่านั้น
Aso Boy! เป็นรถไฟที่วิ่งเส้นทางระหว่างเมือง Aso จังหวัด Kumamoto – เมือง Beppu จังหวัด Oita มีจุดเด่นก็คือน้องหมาสีดำคุโระจังเป็นคาแร็กเตอร์ประจำรถไฟ ภายในรถไฟเองก็ตกแต่งด้วยคุโระจังทั้งหมด ซึ่งแต่ละโบกี้ก็จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไป รวมถึงมีทั้งโซนคาเฟ่และสระบอลสำหรับเด็กเล็กด้วยนะคะ เรียกได้ว่ารถไฟขบวนนี้เป็นรถไฟที่สร้างมาเพื่อการท่องเที่ยวแบบครอบครัวอย่างแท้จริง จึงทำให้เป็นที่นิยมในหมู่ครอบครัวคนญี่ปุ่นที่มีเด็กเล็กมาก
จุดเด่นยังไม่หมดเพียงเท่านี้ค่ะ เพราะคุณยังสามารถชมวิวพาโนรามาได้ทั้งจากหัวหรือท้ายขบวนเลย ที่สำคัญชาวต่างชาติยังสามารถใช้ JR Kyushu Pass คิวชูตอนเหนือ ขึ้นรถไฟขบวนนี้ได้อีกด้วย! รับรองว่าทริปของคุณนั้นจะพิเศษขึ้นไปอีกขั้นอย่างแน่นอนค่ะ!
ากสนใจศึกษาข้อมูลสามารถดูได้จากหน้าเว็บไซต์นี้เลย https://www.jrkyushu.co.jp/english/train/asoboy.html (ภาษาอังกฤษ)
แวะพักเติมพลังที่ Okamotoya
ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงเมือง Beppu จังหวัด Oita ค่ะ แต่ก่อนที่เราจะไปเที่ยวกันต่อก็ต้องขอแวะเติมพลังกินข้าวเที่ยงกันก่อนที่ร้านโอคาโมโตะยะ (Okamotoya) ก่อนค่ะ การเดินทางสำหรับคนมีรถง่ายนิดเดียว เพราะขับรถจากสถานีเบบปุ (Beppu Station) ใช้เวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้น
ที่นี่เป็นร้านอาหารที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นเลยล่ะ หากใครที่มาร้านนี้แล้วจะต้องลองสั่ง “เมนูพุดดิ้ง” นะคะ เพราะมีจุดเด่นคือใช้ไข่ที่มาจากออนเซ็นบ่อนรกชื่อดังทำ ว่ากันว่ารสชาติแตกต่างจากพุดดิ้งธรรมดา ๆ อย่างเห็นได้ชัด
นคู่กับพุดดิ้งยิ่งเข้ากันได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ แล้วก็ไม่ผิดหวังกับรสชาติของพุดดิ้งจริง ๆ ค่ะ เพราะหอมหวานกลิ่นกำมะถันอ่อน ๆ เนื้อนุ่มลิ้น ละลายในปาก อร่อยกว่าพุดดิ้งที่ขายในซูเปอร์ทั่วไปเยอะเลย
นอกจากนี้ ถ้าเป็นช่วงเวลากลางวัน โดยเฉพาะเสาร์-อาทิตย์คนจะเยอะมาก บางครั้งที่นั่งในร้านเต็ม ต้องเลือกเป็นนั่งด้านนอกแทน ยังไงใครที่อยากลองแวะไปต้องลองกะเวลาให้ดีนะคะ
- เวลาเปิดให้บริการ : 8:30 น. – 18:30 น.
- โลเคชั่น Okamotoya : https://goo.gl/maps/M1SNkPePCzbw24fy9
พาทัวร์บ่อนรก สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังประจำเมือง Beppu
พาทัวร์บ่อนรก สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังประจำเมือง Beppu
เราไปลุยกันต่อกับ “บ่อนรก” หรือชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า “จิโกกุออนเซ็น” กันดีกว่าค่ะ สำหรับ Beppu เป็นเมืองที่มีบ่อน้ำพุร้อนที่มีบ่อน้ำร้อนจากธรรมชาติมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นควันกำมะถันจากบ่อน้ำพุร้อนอยู่เต็มไปหมด และจิโกกุออนเซ็นนี่ล่ะเป็นจุดขายของที่นี่เลย
บ่อนรกทั้ง 8 บ่อเป็นออนเซ็นน้ำแร่ธรรมชาติที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดดเด่นและแปลกตา เรียกว่าคุณต้องไม่เคยเห็นออนเซ็นประเภทนี้จากที่ไหนมาก่อนแน่ ๆ โดย 6 บ่ออยู่ในเขตคันนะวะ (Kannawa) ประกอบด้วย Umi Jigoku, Oniishibozu Jigoku, Shiraike Jigoku, Kamado Jigoku, Oniyama Jigoku, Yama Jigoku และอีก 2 บ่ออยู่ในเขตชิบะเซะกิ (Shibaseki) ประกอบด้วย Chinoike Jigoku และ Tatsumaki Jigoku
หากใครจะเก็บให้ครบทุกบ่อล่ะก็ควรรีบมาแต่เช้า ๆ หน่อย ข้อดีก็คือทุกบ่ออยู่ใกล้กันสามารถเดินถึงกันได้ค่ะ มีเพียงบางจุดที่อาจจะต้องนั่งรถบัสต่อไปไม่กี่ป้าย และสำหรับวันนี้เราจะขอแนะนำเพียงบางบ่อเด็ด ๆ ไม่ควรพลาดค่ะ
Umi Jigoku เป็นบ่อที่มีสีฟ้าสดใสได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวสุดๆ รอบๆ บริเวณนี้มีสวนสวยงามให้แวะชม และมีศาลาสำหรับแช่เท้าอยู่ใกล้ๆ ด้วย บ่อนี้มีความหมายเป็นภาษาไทยว่า “ทะเลเดือด” เนื่องจากว่าน้ำในบ่อนี้เป็นสีฟ้า เกิดขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟสึรุมิ (Mt. Tsurumi) ราว 1,200 ปีที่แล้ว น้ำในบ่อเป็นน้ำสีฟ้าเดือด หรืออีกชื่อคือทะเลสีฟ้าโคบอลต์ โดยมีอุณหภูมิน้ำสูงถึง 98 องศา มีควันลอยเหนือน้ำตลอดเวลา จนบางทีควันเยอะเกินไปแทบจะมองไม่เห็นเลยล่ะค่ะ
Kamado Jigoku หรืออีกชื่อว่า “บ่อกระทะทองแดง” เป็นบ่อสีฟ้าอีกเช่นเคย ในอดีตชาวบ้านเคยใช้ความร้อนของบ่อนี้ในการประกอบอาหาร จึงมีรูปหม้อหุงข้าวและรูปปั้นยักษ์สีแดงไว้เป็นสัญลักษณ์ บริเวณนี้มีทั้งจุดแช่เท้าและจุดจำหน่ายขนมให้ได้แวะพักกันด้วยค่ะ ใครที่หิว ๆ ล่ะก็อย่าลืมลองสั่งไข่ออนเซ็นทานกันดูนะคะ
ปฏิกิริยาที่ความร้อนระอุถึง 78 องศา บ่อนี้มีความสวยงาม และแปลกกว่าบ่ออื่น เนื่องจากน้ำและไอน้ำเป็นสีแดงเลือด แน่นอนว่าดูแต่ตามืออย่าต้อง เพราะน้ำมีอุณหภูมิสูงมาก หากเผลอลองแตะล่ะก็เป็นอันตรายอย่างแน่นอน
Oniishibozu Jigoku เป็นโคลนเดือด จะเห็นฟองน้ำเดือดปุด ๆ ตลอดเวลา โซนนี้จะมีบ่อย่อยอีก 2-3 บ่อ ชื่อบ่อนี้ได้มาจากโคลนที่อยู่ในบ่อเกิดการเดือด โคลนในบ่อมีลักษณะคล้ายน้ำปูนเปียกที่เห็นแล้วหิวน้ำเต้าหู้งาดำมาก
Shiraike Jigoku สำหรับน้ำในบ่อนี้จะมีสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนม เห็นสีขาวๆ สวยๆ แบบนี้ แต่อุณหภูมิน้ำนั้นร้อน 95 องศาเลยล่ะค่ะ เมื่อยืนอยู่ใกล้บ่อสามารถรับรู้ได้ถึงความร้อนจากควันและไอที่ลอยขึ้นมา นอกจากนี้ บริเวณโดยรอบบ่อมีสวนสไตล์ญี่ปุ่นโดยรอบให้คุณได้เดินชม และที่นี่มีศาลาให้พักชมความงามของสวนไปพร้อม ๆ กันอีกด้วย
- ค่าเข้าชม : สำหรับบัตรเข้าชมทั้ง 8 บ่อของผู้ใหญ่ราคา 2,100 เยน, นักเรียนชั้นมัธยมปลายราคา 1,350 เยน, นักเรียนชั้นมัธยมต้นราคา 1,000 เยน และนักเรียนชั้นประถมราคา 900 เยน หากซื้อแยกบ่อจะราคาบ่อละ 400 เยน
- การเดินทางสำหรับผู้ไม่มีรถยนต์ : ขึ้นรถบัสหน้าสถานี Beppu ลงป้าย Chinoike Jigoku เพื่อชม 2 บ่อในเขต Shibaseki หรือจะลงป้าย Kannawa เพื่อชมอีก 6 บ่อก่อนก็ได้ (ส่วนใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวมักจะเลือกไปโซน 6 บ่อก่อน)
- โลเคชั่นบ่อนรก : https://goo.gl/maps/zbFfqSB5VGLfa2ME8
ทิวทัศน์ควันออนเซ็นกับ Yukemuri Observatory และสัมผัสประสบการณ์นึ่งอาหารด้วยไอร้อนออนเซ็น
เวลาใครเสิร์ทข้อมูลหรือรูปภาพเมือง Beppu ส่วนใหญ่แล้วภาพที่จะขึ้นมาจากอินเตอร์เน็ตจะเป็นภาพควันออนเซ็นสีขาวดูแล้วน่าพิศวงที่ลอยมาจากบ้านหรือตึกหลายจุดใช่ไหมล่ะคะ และวันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับสถานที่ที่จะได้เห็นวิวดังกล่าวด้วยตาตัวเองที่จุดชมวิวยูเกะมุริ (Yukemuri Observatory) กันค่ะ
สำหรับ Yukemuri Observatory เป็นจุดชมวิวเล็ก ๆ ที่อยู่ในเมือง Beppu เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง สามารถขับรถยนต์จากสถานี Beppu ใช้เวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น ด้วยความที่เป็นสถานที่ค่อนข้างเล็ก ถนนแคบ และที่จอดรถมีจำกัด จึงไม่เหมาะกับการนำรถคันใหญ่ไปเท่าไหร่นัก
ช่วงเวลาที่แนะนำที่สุดคือตอนพระอาทิตย์กำลังตกดินค่ะ เพราะนอกจากจะได้ชมบรรยากาศท้องฟ้าสีสวย ๆ แล้ว บริเวณสถานที่ต่าง ๆ ก็เริ่มเปิดไฟกันทำให้ได้ความรู้สึกเหมือนกำลังชมแสงสีไฟ Illumination ท่ามกลางควันสีขาว เป็นวิวที่สวยและดูน่าประหลาดใจมากเลยล่ะ
นอกจากนี้ หากใครได้มาเยือน Beppu อาหารที่ไม่ควรพลาดเลยก็คือ “จิโกกุมุชิ” (Jigokumushi) หรือชื่อภาษาไทยก็คือ “อาหารนึ่งด้วยไอน้ำจากออนเซ็น” ค่ะ โดยตามร้านค้าหรือสถานที่ท่องเที่ยวหลายจุดจะมีการเตรียมเตาที่ใช้พลังงานไอร้อนจากออนเซ็นไว้สำหรับนึ่งอาหาร จุดเด่นที่น่าสนใจก็คือ นักท่องเที่ยวเองก็สามารถลองใช้เตาทำอาหารได้ด้วยตัวเองเช่นเดียวกันค่ะ กิจกรรมนี้เป็นที่ได้รับความนิยมทั้งในหมู่นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก
อันดับแรกคือ เราจะต้องเลือกวัตถุดิบกันก่อนค่ะ ว่าอยากจะนึ่งอะไรบ้าง โดยอาหารจะแบ่งเป็นถาด มีทั้งถาดผัก ถาดอาหารทะเล ถาดเนื้อและอื่น ๆ จากนั้นพนักงานจะทำการสาธิตวิธีการสวมถุงมือ วิธีการนำอาหารหย่อนลงไปในเตา รวมไปถึงการจับเวลาที่จะต้องนำขึ้นมา ซึ่งแต่ละขั้นตอนนั้นต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะเตาค่อนข้างร้อนจัดเลยทีเดียว แถมทันทีที่เปิดฝาเตา ไอน้ำจะพุ่งออกมาเป็นจำนวนมากจนมองแทบไม่เห็นอะไรเลย
องน้ำออนเซนที่มีเกลือเป็นส่วนประกอบ ทำให้ได้อาหารที่มีรสชาติเค็มกำลังดี หรือถ้าใครชอบรสจัดก็สามารถเติมน้ำจิ้มหรือซอสได้ เรียกได้ว่าเป็นกิจกรรมที่ได้ทั้งความสนุกและอิ่มท้องไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ
- โลเคชั่น Yukemuri Observatory : https://goo.gl/maps/zECsWdrqyXmgUVei8
– Day 4 – คิวชู
มุ่งสู่เมือง Yufuin และสัมผัสประสบการณ์นั่งรถคนลากชมย่านเมืองเก่า Yunotsubo Street
จังหวัด Oita ถือเป็นจังหวัดที่ได้รับฉายาว่าเป็น “เมืองออนเซ็น” จริง ๆ ค่ะ เพราะที่นี่ไม่ได้มีแค่เมือง Beppu ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองออนเซ็นประจำจังหวัดเท่านั้น แต่ยังมีเมืองออนเซ็นอีกแห่งใกล้ ๆ ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันเลย และยังเป็นจุดหมายต่อไปของพวกเราอีกด้วย นั่นก็คือ เมืองยูฟุอิน (Yufuin)
Yufuin เป็นเมืองเล็ก ๆ อันเงียบสงบ รายล้อมไปด้วยธรรมชาติ ทิวทัศน์ภูเขาและออนเซ็นคุณภาพ ทำให้เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมากถึงปีละ 4 ล้านคน โดยการเดินทางครั้งนี้เราได้นั่งรถยนต์จากเมือง Beppu ไปยังเมือง Yufuin ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีเท่านั้นเองค่ะ
เมื่อมาถึงจุดหมายปลายทาง สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังแห่งแรกที่เราจะแนะนำก็คงไม่พ้นย่านเมืองเก่าบริเวณถนนยุโนะสึโบะ (Yunotsubo Street) ที่นี่เป็นถนนสายเล็กๆ ที่อยู่ระหว่างทางจากสถานียุฟุอิน (Yufuin Station) ไปยังทะเลสาบคินริน (Lake Kinrin) จึงทำให้สะดวกในการแวะชมสำหรับนักท่องเที่ยวคนไหนที่เดินทางมาโดยรถไฟอีกด้วย
ไหน ๆ ก็มาเยือนเมืองเก่าทั้งที เราก็ต้องหากิจกรรมสนุก ๆ ทำกันสักหน่อย โดยครั้งนี้เราได้ลองนั่ง “รถคนลาก” หรือภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “จิรินฉะ” (Jinrikisha) ซึ่งเป็นรถคล้าย ๆ สามล้อสมัยก่อนในบ้านเรานี่ล่ะค่ะ แต่เปลี่ยนเป็นการเดินเท้าลากแทนปั่นจักรยาน โดยเส้นทางจะมีหลายเส้นให้เลือกขึ้นอยู่กับระยะทางและราคา ระยะเวลาต่อรอบเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 15 นาที ครั้งนี้เราได้เลือกเส้นทางวนรอบ Yunotsubo Street ซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้า คาเฟ่เก๋ ๆ รวมไปถึงร้านขายของที่ระลึกสไตล์ญี่ปุ่นโบราณและอีกมากมาย
หรับฤดูกาลที่เหมาะกับการนั่งรถคนลากมากที่สุดคือช่วงฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงฤดูใบไม้ร่วงค่ะ เราจะได้บรรยากาศแบบชิลล์ ๆ กำลังเย็นสบาย แต่ถ้าเป็นช่วงฤดูหนาวอาจจะต้องใส่ถุงมือหรือผ้าพันคอเตรียมตัวหน่อย เพราะอากาศค่อนข้างหนาวมาก ๆ ใครที่อยากสัมผัสความรู้สึกเหมือนเป็นลูกคุณหนูในละครย้อนยุคญี่ปุ่นต้องไม่พลาดเลยนะคะ
- เวลาเปิดให้บริการ : 9.00 น. – 17.30 น.
- การเดินทางสำหรับผู้ไม่มีรถยนต์ : จากสถานี Beppu นั่งรถไฟ ขบวน Limited Express ไปลงที่สถานี Yufuin จากนั้นเดินเท้าต่อประมาณ 10 นาที
- โลเคชั่น Yunotsubo Street : https://goo.gl/maps/DcYHi6rczUy7NoBS8
เดินเล่นบนสะพานแขวนที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น Kokonoe Yume Otsurihashi
ถัดจากเมือง Yufuin แล้วเราจะไปต่อกันที่เมืองถัดไปนั่นก็คือ เมืองโคโคโนะเอะ (Kokonoe) ค่ะ โดยใครที่ขับรถยนต์เองจากย่าน Yunotsubo Street จะใช้เวลาเพียง 45 นาทีเท่านั้น ที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างมากกับ สะพานแขวนโคโคโนเอะ ยูเมะ โอสึริฮาชิ (Kokonoe Yume Otsurihashi)
สะพาน Kokonoe Yume Otsurihashi เป็นสะพานแขวนระหว่างหุบเขาที่ได้ชื่อว่า “สูงมากที่สุดในญี่ปุ่น” มีความสูง 173 เมตร ยาว 390 เมตร กว้าง 1.5 เมตร สร้างโดยใช้สายเคเบิลในแนวตั้ง โยงสายเคเบิลหลักจากฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง จึงสามารถมั่นใจเรื่องความคงทนได้ และที่นี่ยังได้รับการออกแบบให้สามารถรองรับน้ำหนักคนเดินข้ามไป-มาได้ถึง 1,800 คน
จุดเด่นก็คือ คุณจะรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนท้องฟ้า ชมทิวทัศน์สวย ๆ ของหุบเขาคิวซุยเค (Kyusuikei) ท่ามกลางธารน้ำตกอันยิ่งใหญ่ ยิ่งถ้าเป็นช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีด้วยล่ะก็ คุณจะได้ชมหุบเขาที่แต่งแต้มไปด้วยสีสัน Colorful สวยจนทำให้ลืมความหวาดเสียวบนสะพานเลยล่ะค่ะ
นอกจากนี้ที่นี่ยังใจดีมีบริการถ่ายรูปให้เป็นของที่ระลึกแบบฟรี ๆ อีกด้วย เป็นรูปถ่ายสามารถรอรับได้เลย ใครที่สนใจอยากเก็บความทรงจำนี้ไว้ล่ะก็ อย่าลืมแวะไปต่อแถวถ่ายรูปที่จุดชมวิวกันนะคะ
- ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 500 เยน / เด็ก 200 เยน
- เวลาเปิดให้บริการ : 8.00 น. – 17.00 น. (เวลาอาจเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล)
- การเดินทางสำหรับผู้ไม่มีรถยนต์ : จากสถานี Yufuin นั่งรถไฟไปลงสถานีบุนโกนาคามูระ (Bungonakamura Station) ใช้เวลาประมาณ 40 นาที จากนั้นนั่งรถบัส Hita Bus for Kuju Tozan-guchi ไปลงป้าย Otsurihashi-Nakamura-Guchi
- โลเคชั่นสะพาน Kokonoe Yume Otsurihashi : https://goo.gl/maps/wghmRp5KCqKDMV5a6
ใส่ชุดยูกาตะ ย้อนยุคไปสมัยเอโดะ Mamedamachi
ในจังหวัด Oita นอกจากเมือง Yufuin ที่มีย่านที่เต็มไปด้วยบรรยากาศเมืองเก่าแล้ว เมืองอื่นก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่จะพาคุณย้อนยุคไปสู่สมัยเอโดะเช่นเดียวกันค่ะ โดยจุดหมายปลายทางต่อไปในวันนี้ก็คือย่านเมืองเก่ามาเมดะมาจิ (Mamedamachi) ตั้งอยู่ในเมืองฮิตะ (Hita) ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่เลียบแม่น้ำคาเก็ตสึ (Kagetsu River) ทางตอนเหนือ
Mamedamachi เป็นเขตอนุรักษ์กลุ่มสถาปัตยกรรมดั้งเดิมอันล้ำค่าของประเทศ จึงเต็มไปด้วยอาคาร ร้านค้าและงานสถาปัตยกรรมมากมายที่สร้างขึ้นในยุคหลังสมัยเอโดะ ที่นี่มีอีกชื่อว่าเป็น “Little Kyoto” จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการแต่งชุดยูกาตะ เดินเล่นถ่ายรูปสวย ๆ เป็นอย่างมาก
และในวันนี้เราก็มีโอกาสได้ลองเช่าชุดยูกาตะที่ร้านรุริอัน (Ru Rian) ด้วยค่ะ โดยนอกจากยูกาตะแล้วก็มีชุดกิโมโน ฮากามะและอื่น ๆ อีกมากมาย สำหรับชุดยูกาตะนั้นมีค่าใช้จ่ายเพียง 2,500 เยน / คนเท่านั้น ทั้งเซ็ตจะมีชุด รองเท้าเกี๊ยะ รวมไปถึงบริการทำผม พร้อมเครื่องประดับให้ด้วย เป็นราคาที่คุ้มสุด ๆ ไปเลยล่ะค่ะ ใครที่อยากมีรูปเก็บไว้เป็นความทรงจำต้องแวะมาเช่าชุดยูกาตะที่นี่เลยนะคะ
นอกจากร้านชุดยูกาตะแล้ว เราก็มีอีกสถานที่ที่อยากแนะนำนั่นก็คือ “พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาฮินะ” อยู่ภายในร้านจำหน่ายโชยุและของที่ระลึกชื่อฮิตะโชยุ (Hitashoyu)
ก่อนอื่นเลยขออธิบายก่อนว่าตุ๊กตาฮินะเป็นตุ๊กตาที่ชาวญี่ปุ่นนิยมตั้งโชว์ไว้ที่บ้าน โดยมีความเชื่อในเรื่องของการป้องกันภัยจากอุบัติเหตุและความเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้นกับเด็ก ๆ ในบ้าน สำหรับภายในพิพิธภัณฑ์ดังกล่าว มีตุ๊กตาฮิตะกว่า 3,500 ตัวเลยทีเดียวค่ะ ข้างในจัดแต่งได้อลังการสุด ๆ หากใครมีเวลาล่ะก็ลองแวะเข้ามาชมกันนะคะ
- ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาฮินะ : ผู้ใหญ่ 300 เยน
- การเดินทางสำหรับผู้ไม่มีรถยนต์ : จากสถานีฮิตะ (Hita Station) เดินเท้าใช้เวลาประมาณ 15 นาที
- โลเคชั่นเมืองเก่า Mamedamachi : https://goo.gl/maps/E9hhBpjpvTfnqj8a6
ลองขึ้นรถไฟสไตล์ไม้เต็มไปด้วยบรรยากาศอันอบอุ่นกับ Yufuin no Mori
หลังจากเที่ยวจนเต็มอิ่มแล้ว วันนี้เราจะเดินทางกลับไปยังเมืองหลักของเกาะ Kyushu อย่างเมือง Hakata จังหวัด Fukuoka กันค่ะ ในที่สุดก็ได้เวลาตะลุยเที่ยวเมืองใหญ่กันแล้ว สำหรับการเดินทางกลับครั้งนี้ เราเลือกนั่งรถไฟขบวนสุดพิเศษเป็น Limited Express อีกเช่นเคยกับรถไฟ Yufuin no Mori โดยเราขึ้นจากสถานีฮิตะ (Hita Station) ซึ่งเป็นสถานีใหญ่ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอนิเมะชื่อดังอย่าง Attact on Titan ด้วยล่ะ
คาดว่าใครหลาย ๆ คนน่าจะคุ้นหน้าคุ้นตากับรถไฟสไตล์คลาสสิคขบวนสีเขียวอันโดดเด่นของ Yufuin no Mori กันมาบ้าง รถไฟขบวนนี้วิ่งระหว่างเมือง Yufuin จังหวัด Oita – เมือง Hakata จังหวัด Fukuoka สำหรับจุดเด่นของรถไฟขบวนนี้คือมีตกแต่งภายในที่ทันสมัยด้วยวัสดุจากไม้ ทำให้ผู้โดยสารสามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในขบวนรถ และที่สำคัญรถไฟขบวนนี้เป็นรถไฟที่ฮิตที่สุดของ Kyushu คิวชูตอนเหนือ เลยก็ว่าได้ และทั้งขบวนเป็นรูปแบบ Reserved Seat เพราะฉะนั้นต้องทำการจองที่นั่งออนไลน์ล่วงหน้าค่ะ
อีกด้วย ใครที่ได้มีโอกาสไปลองนั่งดูก็อย่าลืมลองสั่งข้าวกล่อง (Bento) ภายในขบวนดูนะคะ เพราะหน้าตาน่ารักน่ารับประทานสุด ๆ แถมยังเป็นเมนูสไตล์ Healthy เหมาะกับคนรักสุขภาพอีกด้วย
สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากหน้าเว็บไซต์นี้ https://www.jrkyushu.co.jp/english/train/yufuin_no_mori.html (ภาษาอังกฤษ)
สัมผัสบรรยากาศสุดโรแมนติกกับ Illumination ณ สถานี Hakata
สถานีรถไฟฮากาตะ (Hakata Station) ถือเป็นจุดศูนย์กลางของจังหวัด Fukuoka ที่เดินทางได้ง่ายจากสนามบินฟุกุโอกะ (Fukuoka Airport) ด้วยรถไฟหรือรถแท็กซี่ ใช้เวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้น ใครที่ได้มาเยือนภูมิภาคคิวชูล่ะก็ ส่วนใหญ่ต่างก็เริ่มสตาร์ทแผนการท่องเที่ยวที่บริเวณสถานี Hakata แห่งนี้ ที่นี่จึงหลั่งไหลไปด้วยผู้คนจำนวนมากตลอดทั้งวัน
และไฮไลท์ของบริเวณสถานี Hakata ในช่วงฤดูหนาวที่พลาดไม่ได้เลยก็คือเทศกาลไฟประดับ Illumination ที่จะช่วยทำให้บรรยากาศอันเหน็บหนาวของคุณอบอุ่นมากยิ่งขึ้น ด้วยแสงสีไฟหลากสีที่มาพร้อมกับต้นคริสต์มาสขนาดยักษ์ตั้งอยู่บริเวณหน้าทางเข้าสถานี สำหรับปีนี้ได้จัดไฟในธีม “Hikari no Machi HAKATA” โดยมีไฟประดับมากถึง 800,000 ดวงกันเลยทีเดียว! ที่นี่จึงเป็นแลนด์มาร์กสำหรับเหล่าคู่รักที่นิยมมาเดทกันเป็นอย่างมากค่ะ
นอกจากไฟประดับแล้วก็ยังมีคริสต์มาสมาร์เก็ตให้คุณได้แวะเวียนซื้อของ หรือเดินเล่นสัมผัสบรรยากาศอันแสนโรแมนติกนี้อีกด้วย ที่สำคัญงานนี้เข้าชมฟรีค่ะ
- ช่วงวันที่จัดงาน Illumination : 5 พฤศจิกายน 2020 – 6 มกราคม 2021
- เวลาเปิดไฟ : 17:00 น. – 24:00 น.
- โลเคชั่นสถานี Hakata : https://goo.gl/maps/sobHDNfaz1Ddsnj26
– Day 5 – คิวชู
ขอพรส่งท้ายกับศาลเจ้า Miyajidake
และแล้วก็มาถึงการเดินทางวันสุดท้ายแล้วค่ะ สำหรับจุดหมายแรกในวันสุดท้ายนี้ เราจะไปเริ่มต้นกันที่ศาลเจ้ามิยาจิดาเกะ (Miyajidake Shrine) ซึ่งเป็นศาลเจ้าชื่อดังประจำจังหวัด Fukuoka ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นของศาสนาชินโต มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 1,700 ปี และยังเคยเป็นสถานที่สำหรับถ่ายโฆษณาของวงไอดอลญี่ปุ่นชื่อดังอย่าง ARASHI อีกด้วย
สำหรับครั้งนี้เราได้เดินทางจากสถานี Hakata นั่งรถยนต์ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาทีก็จะถึงจุดหมาย และทันทีที่คุณเดินไปถึงทางเข้าศาลเจ้า คุณจะพบกับความสวยงามของบันไดหินที่เรียงตัวเชื่อมต่อกันสู่ถนนหลัก ไปสู่ท้องทะเล หากโชคดีมาช่วงพระอาทิตย์กำลังตกดินล่ะก็จะได้ชมทิวทัศน์สวย ๆ ที่เหล่านักท่องเที่ยวเรียกกันว่า “เส้นทางแห่งแสงสว่าง” (Road of Light) ช่วงกลางถึงปลายเดือนตุลาคมเป็นฤดูที่สวยงามที่สุด
บริเวณโดยรอบของศาลเจ้าก็ตกแต่งในสไตล์สวนญี่ปุ่นขนาดย่อม เมื่อเดินเข้าไปด้านในก็จะพบกับบ่อน้ำสำหรับล้างมือ
และเมื่อมาถึงศาลเจ้า Miyajidake แล้ว จุดที่ทุกคนควรแวะไปสักการะก็คือศาลเจ้าบริเวณโถงขนาดใหญ่ที่มีเชือกชิเมะนาวะ (Shimenawa) ที่เป็นสัญลักษณ์แสดงเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าชินโตพันประดับอยู่ นอกจากจะมีเชือกเส้นใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นแล้ว ที่นี่ยังโด่งดังในเรื่องของกลองไทโกะและกระดิ่งทองแดงที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเช่นเดียวกันค่ะ
อกจากนี้ ภายในศาลเจ้ายังมีศาลเจ้าขนาดย่อมอีก 8 แห่งกระจายตัวอยู่รอบ ๆ ให้ได้แวะเวียนไปสักการะบูชา ว่ากันว่าหากใครได้มาสักการะจนครบจะสมหวังทั้งเรื่องการงาน การเงิน ความรักและสุขภาพเลยล่ะค่ะ ถ้าใครมีโอกาสก็อย่าลืมเตรียมเหรียญมาไหว้พระกันเยอะ ๆ ด้วยนะคะ
- เวลาเปิดให้บริการ : 9.00 น. – 17.00 น. (เวลาอาจเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล)
- การเดินทางสำหรับผู้ไม่มีรถยนต์ : จากสถานี Hakata นั่งไปลงสถานีฟุคุมะ (Fukuma Station) จากนั้นนั่งแท็กซี่ต่อไปประมาณ 5-10 นาที หรือเดินเท้าประมาณ 30 นาที
- โลเคชั่นศาลเจ้า Miyajidake : https://goo.gl/maps/z1WYV8v9kYEoJAPWA
ลิ้มรสซูชิสด ๆ ในราคาย่อมเยากลางบรรยากาศชายทะเล Sushiyatai Uminoiro
อุตส่าห์มาถึงเกาะ Kyushu ทั้งที ถ้าไม่ได้ลองอาหารทะเล ว่ากันว่ามาไม่ถึงนะคะ เพราะฉะนั้นจุดหมายปลายทางต่อไป เราจะพาคุณไปรู้จักกับร้านซูชิติดริมทะเลที่บรรยากาศดีมาก ๆ ที่สำคัญราคาไม่แพงเลยกับร้านซูชิยาไต้ อุมิโนะอิโระ (Sushiyatai Uminoiro)
สำหรับการเดินทาง จากศาลเจ้า Miyajidake ขับรถยนต์ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีเท่านั้น เพียงแค่ลงมาจากรถก็จะได้ยินเสียงคลื่น พร้อมกับกลิ่นอายของทะเล สร้างความสดชื่นสุด ๆ เลยล่ะค่ะ ใครที่เป็นคนชอบเที่ยวทะเลอยู่แล้วจะต้องชอบมากแน่ ๆ โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนคงจะเป็นบรรยากาศที่ครึกครื้นน่าดู
ถึงเรื่องบรรยากาศ ยังไงก็ให้เต็มร้อยคะแนนแน่นอนค่ะ และที่เด็ดที่สุดก็คือเมนูซูชิโอมากาเสะ (Omakase Sushi) ที่นี่ราคาเพียง 2,000 เยนเท่านั้น! เป็นราคาที่ถูกมาก ๆ ให้ปริมาณมาแบบเต็มอิ่มเต็มคำ ปลาชิ้นใหญ่ ๆ ไม่มีกั๊ก แถมร้านยังอยู่ติดชายทะเลขนาดนี้ รับประกันความสดของเนื้อปลาได้เลย
- เวลาเปิดให้บริการ : 11.30 น. – 15.00 น. และ 17.30 น. – 20.00 น. (วันธรรมดา) / 11.00 น. – 21.00 น. (วันเสาร์อาทิตย์ และวันหยุดราชการ) ร้านหยุดทุกวันอังคาร
- โลเคชั่นร้าน Sushiyatai Uminoiro : https://goo.gl/maps/8TZ6cPn2vM13m1WP9
ย้อนเวลาไปชมตึกสไตล์ยุโรปที่เมืองเรโทร Mojiko Retro
ใครที่เป็นคนชอบตึกสวย ๆ สไตล์ยุโรปล่ะก็ควรเลือกที่นี่เป็นหนึ่งในลิสต์สถานที่ที่ต้องไปเยือนใน Kyushu เลยล่ะค่ะกับโมจิโกะเรโทร (Mojiko Retro) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่บริเวณท่าเรือโมจิ (Moji) เมืองคิตะคิวชู (Kitakyushu) จังหวัด Fukuoka
ท่าเรือ Moji ในอดีต เคยทำหน้าที่เป็นฐานการค้าขายระหว่างประเทศ และรุ่งเรืองเป็นอย่างมากในฐานะ 1 ใน 3 ท่าเรือสำคัญแห่งญี่ปุ่นเทียบเคียงกับท่าเรือ Kobe และท่าเรือ Yokohama ทำให้สถาปัตยกรรมและตึกในย่านนั้นเต็มไปด้วยสไตล์ยุโรปอันงดงาม จัดว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองนี้เลยล่ะค่ะ
แม้แต่สถานีรถไฟเองก็มีความเก่าแก่และคลาสสิคสุด ๆ ดีไซน์ได้เป็นเอกลักษณ์ด้วยสถาปัตยกรรมแบบนีโอเรอเนซองส์ ซึ่งเค้าโครงส่วนใหญ่ทำจากไม้ และบริเวณใกล้เคียงกับสถานียังมีอาคารไม้สีเทาหลังใหญ่ซึ่งในอดีตเคยเป็นบ้านพักของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังระดับโลกอีกด้วยค่ะ ในปี ค.ศ. 1922 ไอน์สไตน์ได้รับเชิญให้เดินทางมาบรรยายในญี่ปุ่นพร้อมกับภรรยา แม้ว่าปัจจุบันอาคารชั้นล่างนั้นถูกปรับเปลี่ยนเป็นภัตตาคาร แต่ข้าวของเครื่องใช้ที่ทั้งคู่เคยใช้เมื่อตอนเข้าพักด้านบนก็ยังถูกเก็บรักษาอยู่ในสภาพเดิม สามารถเข้าชมได้นะคะ
และไฮไลท์สำหรับเหล่าคู่รักก็คือ “สะพานบลูวิง” หรือ “สะพานชักเปิด-ปิดได้” สำหรับเรือผ่านเข้า-ออกบริเวณนี้ สะพานนี้เป็นสะพานชักแห่งเดียวสำหรับคนเดินที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่น ว่ากันว่าหากคู่รักคู่ไหนเดินข้ามสะพานไปเป็นคู่แรกหลังสะพานปิดล่ะก็ จะครองรักและผูกพันกันไปชั่วชีวิต โอ้โฮ โรแมนติกสุด ๆ คนโสดอย่างเรานี่ตาลุกเป็นไฟแล้ว
สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะกับการมาเที่ยวมากที่สุดจะเป็นช่วงเวลากลางคืนค่ะ เพราะที่นี่มีเทศกาล Illumination ในช่วงฤดูหนาวด้วย คุณสามารถเห็นทิวทัศน์ที่น่าอัศจรรย์อย่างเช่นอาคารเก่าแก่ดั้งเดิมที่ย้อมสีไปด้วยแสงสีส้ม และผิวน้ำทะเลที่สะท้อนแสงจากตัวเมือง
- การเดินทางสำหรับผู้ไม่มีรถยนต์ : นั่งรถไฟจากสถานีโคคุระ (Kokura Station) ไปลงที่สถานีโมจิโกะ (Mojiko Station)
- โลเคชั่น Mojiko Retro : https://goo.gl/maps/WGy67HsZYvF1R8KS8
ส่งท้ายด้วยรถไฟขบวนสุดพิเศษ Limited Express Sonic
หลังจากที่ชมวิวกันเต็มอิ่มแล้ว เราก็จะเดินทางกลับไปยังเมือง Hakata อีกครั้ง โดยครั้งนี้เราจะนั่งรถไฟขบวนพิเศษอีกเช่นเคย นั่นก็คือ Limited Express Sonic (883 Series) สำหรับการนั่งรถไฟขบวนนี้จะไม่มีจอดที่สถานี Mojiko ดังนั้น เราต้องนั่งรถไฟย้อนกลับไปที่สถานี Kokura เสียก่อนค่ะ เพื่อขึ้นรถไฟขบวนนี้โดยเฉพาะ
สำหรับรถไฟ Limited Express Sonic (883 Series) เป็นรถไฟที่ด้านนอกตกแต่งด้วยสีน้ำเงินเข้มอันโดดเด่น และด้านในตกแต่งสไตล์เรียบหรู เบาะนั่งทำจากหนังแท้จึงนุ่มสบาย บริเวณพนักพิงศีรษะ มีหูยื่นออกมา 2 ข้าง คล้ายหูมิกกี้เม้าส์ จุดเด่นอีกอย่างของรถไฟขบวนนี้คือมีที่ใส่บัตรโดยสารบริเวณพนักพิงศีรษะด้านหน้าด้วยนะคะ
เส้นทางของขบวนนี้จะวิ่งระหว่างเมือง Hakata จังหวัด Fukuoka – เมือง Saiki จังหวัด Oita หากใครที่สนใจดูข้อมูลเพิ่มเติมสามารถศึกษาได้จากที่นี่เลยค่ะ https://www.jrkyushu.co.jp/english/train/sonic.html (ภาษาอังกฤษ)
และสุดท้ายนี้ คาดว่าบทความนี้น่าจะมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ และเหมาะกับนักท่องเที่ยวชาวไทยหลายที่เลย ใครที่ยังนึกแพลนจะเที่ยวไหนในภูมิภาค คิวชู (Kyushu) ไม่ออกก็สามารถเดินทางตามแพลน คิวชูตอนเหนือ ด้านบนได้เลยนะ! แล้วก็อย่าลืมรักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ ไว้เจอกันใหม่บทความต่อไปน้า~
รวมคูปองส่วนลดในญี่ปุ่น Donki/ตึกม่วง Takeya/ประกัน Sompo >>> www.gographjapan.com/category/คูปองส่วนลดญี่ปุ่น/