Oyama
ประเทศญี่ปุ่นเมื่อเข้าสู่ช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายนอากาศจะเริ่มเย็นลง ทำให้ต้นไม้ใบหญ้าหลายจังหวัดในภูมิภาคคันโต (Kanto) เริ่มเปลี่ยนสีจากเขียวอชุ่มเป็นสีเหลือง ส้ม แดงสลับกันอย่างงดงาม ในช่วงนี้หลายคนเริ่มออกเดินทางไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง พร้อมชมใบไม้เปลี่ยนสี ไม่ว่าจะเป็นการปีนเขา เดินป่า ตั้งแคมป์ และอีกมากมาย
วันนี้เราก็มีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสียอดนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวญี่ปุ่น ก็คือ ภูเขาโอยามะ (Mount Oyama) ซึ่งอยู่ในจังหวัดคานากาว่า (Kanagawa) นั่นเอง แม้ว่าโอยามะอาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักในนักท่องเที่ยวต่างชาติเท่าไหร่นัก แต่เรื่องความงดงามนั้นไม่แพ้กับที่อื่น ๆ เลย ที่สำคัญยังเดินทางไปเช้า-เย็นกลับได้ง่ายจากโตเกียว (Tokyo) อีกด้วย โดยบทความนี้จะแนะนำวิธีการเดินทางด้วยพาสสุดคุ้มแบบละเอียดที่มือใหม่เองก็สามารถตามรอยได้ง่าย ๆ
ก่อนอื่นมารู้จักข้อมูลคร่าวๆ ของโอยามะกันก่อนดีกว่า โอยามะนั้นเป็นภูเขาที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 1,252 เมตร ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน 50 จุดชมวิวที่ดีที่สุดของจังหวัดคานากาว่า หากวันไหนอากาศดียังสามารถมองเห็นภูเขาฟูจิ (Mt.Fuji) จากจุดชมวิวบนยอดเขาได้อีกด้วย นอกจากนี้ โอยามะยังเป็นจุดหมายปลายทางของใครหลายคนที่อยากเริ่มลองปีนเขาแบบไม่ยาก หรือหากใครที่ไม่ถนัดการปีนเขาหรือเดินป่าล่ะก็ที่นี่ยังมีบริการถรางโอยามะเคเบิลคาร์ (Oyama Cable Car) ทำให้แม้แต่ผู้สูงอายุ หรือผู้ทุพพลภาพก็สามารถแวะมาเที่ยวกันได้
Digital Tanzawa-Oyama Freepass
สำหรับการเดินทางไปโอยามะ เราขอแนะนำให้ใช้พาสดิจิตัลทันซาว่า-โอยามะ แบบ 2 วัน (Digital Tanzawa-Oyama Freepass) นี้เลย เพราะมีแค่พาสเดียวก็สามารถใช้บริการยานพาหนะได้ดังนี้
- รถไฟสาย Odakyu ไป-กลับได้ 1 ครั้ง จากสถานีต้นทาง – สถานี Hon-Atsugi หรือ สถานี Shibusawa
- รถไฟสาย Odakyu ได้ไม่จำกัดจำนวนเที่ยวในพื้นที่ Tanzawa-Oyama (ช่วงระหว่างสถานี Hon-Atsugi จนถึงสถานี Shibusawa)
- รถบัสประจำทาง Kanachu และรถราง Oyama Cable Car ได้ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว
เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีส่วนลดและสิทธิพิเศษในสถานที่และร้านค้าต่าง ๆ ที่กำหนดประมาณ 60 แห่ง เรียกได้ว่าคุ้มสุด ๆ
พาสดังกล่าวมี 2 ประเภทให้เลือก (ราคาอาจต่างกันขึ้นอยู่กับสถานีที่เริ่มออกเดินทาง)
- Ticket A รวมค่ารถรางเคเบิลคาร์ ออกเดินทางจากสถานี Shinjuku ผู้ใหญ่ 2,520 เยน เด็ก 920 เยน
- Ticket B ไม่รวมค่ารถรางเคเบิลคาร์ ออกเดินทางจากสถานี Shinjuku ผู้ใหญ่ 1,560 เยน เด็ก 400 เยน
สำหรับพาสประเภท B เหมาะสำหรับคนที่อยากปีนเขาด้วยตนเองมากกว่า
นอกจากนี้หากเรามีตั๋ว Digital Tanzawa-Oyama Freepass แล้ว แค่จ่ายค่าโดยสารรถด่วนเพิ่มอีกเพียง 700 เยน (ต่อเที่ยว) ก็สามารถใช้บริการรถด่วนโรแมนซ์คาร์ของโอดะคิวได้ (Odakyu Romancecar)
สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ทางการของตั๋วฟรีพาส
https://www.odakyu.jp/english/passes/tanzawa_oyama/
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถด่วนโรแมนซ์คาร์ https://www.odakyu.jp/english/romancecar/
อธิบายข้อมูลคร่าว ๆ ของพาสกันไปแล้ว ต่อไปเราจะมาแนะนำวิธีซื้อพาสดิจิตัลกันดีกว่า สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ขายตั๋วออนไลน์ของโอดะคิวที่ชื่อว่า “EMot Online Tickets” (ไม่สามารถเปิดผ่านคอมพิวเตอร์ หรือ Tablet ได้ จำเป็นต้องใช้การสแกน QR Code และดำเนินการผ่านโทรศัพท์มือถือ)
https://www.emot-tickets.jp/detail-purchase?&masterBookId=135&set=true&site=odakyuglobal&language=en
วิธีการซื้อ Digital Tanzawa-Oyama Freepass (ระยะเวลาที่สามารถใช้งานได้ : 2 วัน)
1. เมื่อเข้าสู่หน้าเว็บ EMot Online Tickets ตรงเมนู Search ticket by area เลือกโซน Tanzawa-Oyama และเลือกตั๋ว Digital Tanzawa-Oyama Freepass และตามด้วยเลือก Go to purchase procedure
2. เลือกประเภทตั๋ว ระหว่าง Ticket A กับ Ticket B จากนั้นเลือกสถานีต้นทาง และวันที่ออกเดินทาง (วันที่เปิดใช้งานตั๋ว) จากนั้นเช็คยืนยันและยอมรับเงื่อนไข ตามด้วยกดเลือก Next
3. หน้าถัดไปจะเป็นการเข้าสู่ระบบ (สามารถเลือกผ่านแอคเคาน์โซเชียล หรือผ่านอีเมลก็ได้)
※ หมายเหตุ: หากเลือก Login ผ่านแอคเคาน์โซเชียล Verification Code จะถูกส่งไปทางอีเมลที่เราใช้สมัครแอคเคาน์โซเชียลนั้นๆ ค่ะ จึงแนะนำให้เข้าระบบด้วยอีเมลปัจจุบันที่เราใช้เป็นประจำ เพื่อป้องกันการลืม Password
4. เมื่อคลิกเข้าไปแล้วจะเข้าสู่หน้าลงทะเบียนอัตโนมัติ กรอกรายละเอียดข้อมูลส่วนตัว ตามด้วยใส่ข้อมูลเลขบัตรเครดิต เมื่อใส่ข้อมูลแล้วกลับไปที่หน้าเดิมแล้วกด Next
5. หน้าถัดไปคือ Confirm ข้อมูลที่เลือกมาทั้งหมด เมื่อไม่มีปัญหาให้กดยืนยันที่ปุ่มด้านล่างสุดก็จะเป็นการซื้อโดยเสร็จสมบูรณ์ โดยจะมีหลักฐานการจองส่งมาให้ทางอีเมลด้วย อย่าลืมตรวจสอบอีเมลที่ลงทะเบียนไว้ด้วยนะคะ
ข้อดี
- ซื้อตั๋วได้ทุกที่ทุกเวลาด้วยมือถือแบบสมาร์ทโฟน
- จ่ายค่าตั๋วผ่านบัตรเครดิตได้ง่ายๆ
- ไม่ต้องเสียเวลาไปต่อคิวรอซื้อตั๋วที่เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว
- ไม่ต้องกังวลว่าจะทำตั๋วหายระหว่างเดินทาง
- ระหว่างเดินทางแค่เพียงโชว์หน้าตั๋วจากจอมือถือให้เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วดู หรือแสกน QR code เท่านั้น สะดวกมาก ๆ
ข้อควรระวัง
- ใช้ตั๋วได้เพียง 1 ใบ ต่อมือถือสมาร์ทโฟน 1 เครื่อง
- ต้องเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตตลอดเวลาเมื่อใช้ตั๋วระหว่างเดินทาง
- ใช้ตั๋วผ่านทางมือถือสมาร์ทโฟนเท่านั้น ไม่สามารถใช้ผ่านคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์แท็บเลตได้
ระหว่างเดินทางให้แสกน QR code ที่เครื่องตรวจตั๋วตรงประตูสถานี หรือเมื่อเจ้าหน้าที่เรียกดูตั๋ว ให้โชว์หน้าจอตั๋วแบบอนิเมชั่นเท่านั้น (หน้าจอตั๋วที่มีรูปรถไฟกำลังวิ่งอยู่) ไม่สามารถโชว์หน้าจอตั๋วแบบ Screenshot ได้
หลังจากซื้อพาสเรียบร้อยแล้ว อันดับต่อไปจะมาแนะนำถึงการจองตั๋วรถไฟด่วน Romancecar ซึ่งจำเป็นต้องจ่ายค่าโดยสารส่วนต่างเพิ่มอีกเที่ยวละ 700 เยน สามารถจองและซื้อผ่าน EMot Online Tickets เว็บไซต์ตั๋วดิจิตัลของโอดะคิวได้เช่นกัน ซึ่งการซื้อตั๋วทางออนไลน์จะถูกกว่าการซื้อผ่านทางเคาน์เตอร์ที่สถานีรถไฟ 50 เยน
วิธีการซื้อตั๋วและจองที่นั่งรถไฟด่วน Romancecar
1. เข้าไปที่เว็บไซต์ https://www.emot-tickets.jp/express-menu?language=en ผ่านโทรศัพท์มือถือ
2. ให้กดเลือก Ticket Purchase & Check ปุ่มสีเหลือง (ตรงด้านล่างคำว่า Limited Express Tickets)
3. เลือก New booking/Purchase จากนั้นกรอกข้อมูลวันที่ เวลาที่ต้องการเดินทาง เส้นทางทั้งสถานีต้นทางและสถานีปลายทาง จำนวนผู้โดยสาร จากนั้นเช็คยืนยันและยอมรับเงื่อนไข ตามด้วยกดเลือก Check seat availability
4. จะมีรอบรถเวลาต่างๆ โชว์ขึ้นมา เลือกเวลาที่ต้องการเดินทาง จากนั้นจะเป็นการเลือกที่นั่ง แนะนำว่าให้เลือกจาก Select from seat map จะเข้าใจง่ายกว่า จากนั้นเลือก Purchase ตามด้วยกด Next
5. หน้าจอถัดไปจะเป็นหน้าตาแผนผังที่นั่ง เลือกให้เรียบร้อยและกด Next ไปหน้าถัดไปจะเป็นการเข้าสู่ระบบ ล็อคอินให้เรียบร้อย และกด Confirm ซื้อตั๋ว จะมีอีเมลแจ้งเตือนมาก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย เวลาผ่านประตูตรวจตั๋วที่สถานี ให้เราใช้ตั๋วฟรีพาสแสกนเข้าประตูได้เลย ไม่จำเป็นต้องโชว์หรือแสกนตั๋วรถด่วนโรแมนซ์คาร์
เริ่มออกเดินทาง ตั้งต้นที่สถานีชินจูกุ (Shinjuku Station)
ทริปนี้เราเลือกการเดินทางด้วยรถด่วน Romancecar จากสถานีชินจูกุ (Shinjuku Station) รอบ 9:20 น. โดยนั่งไปลงที่สถานีอิเซฮาระ (Isehara Station) ถึงรอบ 10:13 น. ใช้เวลาเพียง 50 เท่านั้นเอง
สำหรับทางเข้าสถานีชินจูกุสายโอดะคิวจะมี 2 ฝั่ง คือ ประตูฝั่งทิศตะวันตก (West Exit) และประตูฝั่งทิศใต้ (South Exit) วิธีสังเกตคือให้มองหาโลโก้ป้ายโอดะคิวใหญ่ ๆ บนทางเข้าสถานี หากใครจะนั่งรถด่วน Romancecar แนะนำให้เข้าทางประตูฝั่งทิศตะวันตก(West Exit) เพราะจะใกล้กับชานชาลาของรถด่วนมากที่สุด
เมื่อถึงหน้าประตูตรวจตั๋ว ตรงเจ้าหน้าที่จะมีกล่องสีเหลืองเล็ก ๆ ซึ่งเป็นเครื่องตรวจตั๋วดิจิทัล ให้เราแสกนตั๋ว QR code ที่เครื่องนี้ แล้วเดินผ่านประตูตรวจตั๋วได้เลยค่ะ
เนื่องจากวันที่เราเดินทางดันเป็นช่วงใกล้วันหยุดนักขัตฤกษ์คนญี่ปุ่นพอดี ทำให้คนเยอะมาก ๆ สำหรับรถด่วน Romancecar ขบวนที่เรานั่งในวันนี้คือรุ่น MSE สีฟ้าสดใส ซึ่งบรรยากาศข้างในรถไฟมีกลิ่นอายความวินเทจเบา ๆ ที่นั่งค่อนข้างกว้าง และสะอาดมากเลยค่ะ
เวลาผ่านไปไม่นานก็ถึงสถานีอิเซฮาระกันแล้ว ไม่ต้องกังวลว่าจะหลงทางเลยค่ะ เพราะเพียงแค่ออกจากสถานีก็จะมีป้ายภาษาอังกฤษบอกทางไปโอยามะอยู่ตลอด โดยหลังจากที่ออกมาจากที่ตรวจตั๋วแล้วให้เลี้ยวขวา เดินลงบันไดมา เพื่อที่เราจะไปขึ้นรถบัสต่อ ซึ่งป้ายรถบัสจะอยู่ด้านล่างสถานีเลย (หากใครที่เป็นกังวลสามารถสอบถามเจ้าหน้าที่บริเวณนั้นได้)
รถบัสที่เราขึ้นไปจะไปจอดสุดสายชื่อป้ายโอยามะเคเบิล (Oyama Cable Bus Stop) จากสถานีใช้เวลาประมาณ 20-30 นาทีได้ค่ะ หลายคนคงคิดภาพว่าถ้าลงจากรถบัสแล้วจะได้ขึ้นเคเบิลคาร์แบบสบาย ๆ เลยใช่ไหมคะ
ขอบอกว่าทุกคน “คิดผิด” ค่ะ
เพราะความจริงแล้วหลังจากที่ลงจากรถบัสไป เรายังต้องเดินเท้าต่อขึ้นไปยังตีนเขาอีกประมาณ 15 นาที!! ดังนั้น ขอแนะนำว่าควรใส่กางเกงและรองเท้าที่เดินสบาย เช่น รองเท้าผ้าใบนะคะ เพราะเส้นทางนี้ก็แอบโหดเล็กน้อยสำหรับคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายบ่อย ๆ หรือไม่ชินกับการเดินเยอะ ๆ เหมือนกัน
เวลาขึ้นและลงรถบัสก็แค่โชว์พาสดิจิตัลทันซาว่า-โอยามะให้คนขับรถดู แค่นั้นเองค่ะ ง่ายมาก ๆ (ไม่ต้องเอาไปแตะที่ IC บนรถบัสนะคะ)
บรรยากาศข้างทางระหว่างการเดินไปยังจุดขึ้นเคเบิลคาร์ก็จะมีคนท้องถิ่นที่นำสินค้าต่าง ๆ มาวางจำหน่าย รวมไปถึงร้านอาหารด้วย หากใครที่ต้องการรับประทานอาหารล่ะก็ขอแนะนำให้หาร้านอาหารตั้งแต่ข้างล่างจะดีกว่า เพราะข้างบนมีร้านอยู่ไม่เยอะค่ะ เมื่อเดินมาถึงทางขึ้นแล้วเพียงแค่เราโชว์พาสดิจิตัลทันซาว่า-โอยามะที่ซื้อไว้ก็สามารถเดินเข้าไปได้เลย ไม่ต้องไปต่อคิวซื้อตั๋วกระดาษอีกให้เสียเวลา
จุดเด่นของโอยามะนอกจากเป็นสถานที่ปีนเขาและจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีอันเลื่องชื่อแล้ว เคเบิลคาร์ของที่นี่เองก็สวยมากเช่นเดียวกันค่ะ ด้วยหน้าต่างที่กว้างทำให้สามารถชมวิวธรรมชาติขณะที่เคเบิลคาร์ค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นสู่สถานีสุดท้าย โดยเคเบิลคาร์จะมีป้ายจอดทั้งหมด 2 ป้าย ได้แก่ สถานีโอยามะเดระ (Oyama-dera Temple Station) และสถานีอาฟุริจินจะ (Afuri-jinja Shrine Station)
ครั้งนี้เราจะขอเริ่มจากศาลเจ้าบนเขาก่อนนั่นก็คือไปที่ “ป้ายสถานีศาลเจ้าอาฟุริจินจะ” ค่ะ เพียงแค่เดินออกมาจากเคเบิลคาร์จะสัมผัสได้ถึงความเย็นจากข้างบนเขา และเมื่อเดินไปอีกนิดจะเห็นความงดงามของใบไม้เปลี่ยนสีทั้งสีเหลือง แดง ส้มที่สลับกันไปมาแบบอลังการสุด ๆ ผสมกับวิวพาโนรามาที่สามารถทอดสายตามองเห็นไปถึงบรรยากาศเมืองโตเกียว ที่นี่ได้รับการคัดเลือกให้เป็น “จุดชมวิวยอดเยี่ยมระดับมิชลินสองดาว” ด้วยนะคะ เรียกได้ว่าแค่ได้ขึ้นมาชมวิวบนนี้ก็คุ้มค่าเหนื่อยที่เดินทางมาไกลเลยล่ะ
เมื่อเดินเข้าไปอีกนิดจะพบกับศาลเจ้าโอยามะ อาฟุริ ชิโมฉะ (Oyama Afuri-jinja Shrine Shimosha) ซึ่งเป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่รู้จักกันในชื่อว่าศาลเจ้าแห่งการปกป้องรักษา ทำให้มีผู้คนจำนวนมากนิยมขึ้นมาไหว้สักการะขอพรกัน ในอดีตที่นี่เคยเป็นเส้นทางแสวงบุญ และศาลเจ้าแห่งนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นสถานที่มรดกโลกของญี่ปุ่นในปี 2016 อีกด้วย
จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีบนนี้ที่ดีที่สุดขอแนะนำบริเวณข้างศาลเจ้าเลยค่ะ ต้นเมเปิ้ลขนาดใหญ่แถมเปลี่ยนสีได้แดงสะใจสุด ๆ เห็นแล้วประทับใจมาก ๆ
ไฮไลท์ของยอดเขายังไม่ได้หมดเพียงเท่านี้นะคะ เพราะหากใครได้ขึ้นมาเยือนถึงข้างบนแล้วล่ะก็ขอแนะนำร้านคาเฟ่เซคิซง (Teahouse Sekison) ซึ่งวิวทิวทัศน์ที่มองเห็นจากคาเฟ่นี้ได้รับมิชลิน กรีนไกด์ ญี่ปุ่นระดับ 2 ดาวด้วยนะคะ
จุดเด่นของที่นี่คือบรรยากาศร้านที่ตกแต่งทั้งหมดด้วยไม้ในสไตล์มินิมอล มีบรรยากาศความเป็นญี่ปุ่นโบราณเบา ๆ และยังมีที่นั่ง Terrace ให้ได้ชมวิวพาโนรามากันแบบจุใจ หากวันไหนอากาศดีสามารถมองเห็นไปถึงวิวอ่าวซางามิ (Sagami Bay) และเกาะเอโนชิมะ (Enoshima Island) ได้ด้วย (เนื่องจากเป็นคาเฟ่ยอดนิยม จึงทำให้คนค่อนข้างเยอะมาก แนะนำให้ไปถึงแล้วไปลงชื่อจองไว้ก่อนนะคะ)
สำหรับเมนูแนะนำของที่นี่คือ “ทิรามิสุชาเขียว” (Matcha Tiramisu) และ “มันจูหยดน้ำ” (Mizumanju) หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันว่าโมจิหยดน้ำ นอกจากนี้ยังมีเมนูเครื่องดื่มอีกมากมาย เสียดายที่วันที่ไปคนเยอะมาก ๆ เลยไม่ได้นั่งโซนด้านนอก แต่ข้างในเองถึงจะมืดไปหน่อยแต่ก็ถ่ายรูปสวยไม่แพ้ด้านนอกเช่นกันค่ะ
หลังจากที่อิ่มท้องกันแล้วและเดินเล่นกันไปสักพัก เมื่อตกเย็นก็ได้เวลาย้อนกลับไปที่ “สถานีโอยามะเดระ” ซึ่งเราต้องนั่งเคเบิลคาร์ย้อนกลับไปหนึ่งป้าย เพื่อที่เราจะไปชมไลท์อัพ (Light Up) หรือไฟประดับกันค่ะ ขอนอกเรื่องว่าแม้แต่ที่นั่งรอเคเบิลคาร์บริเวณสถานีโอยามะเดระยังน่ารักมาก ๆ สามารถเป็นอีกหนึ่งจุดถ่ายรูปได้เลยด้วย
โดยทั่วไปแล้วไลท์อัพใบไม้เปลี่ยนสีที่โอยามะจะจัดขึ้นในช่วงกลางไปจนถึงปลายเดือนพฤศจิกายนที่บริเวณวัดโอยามะเดระ (Oyamadera) เริ่มเวลาประมาณ 4-5 โมงเย็นขึ้นอยู่กับช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดินค่ะ แถมยังไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเข้าชมด้วยนะ ช่วงเดือนพฤศจิกายนจึงเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในฤดูท่องเที่ยวที่พีคที่สุดของโอยามะเลย
เนื่องจากกลัวคนจะเยอะมากเลยรีบมาก่อนเวลาพระอาทิตย์ตก พอเราลงจากเคเบิลคาร์แล้วก็เดินตามป้ายบอกทางไปเรื่อย ๆ ไม่ไกลนักก็จะพบกับบันไดหินขึ้นไปสู่บริเวณวัดค่ะ และจุดนี้แหละบอกเลยว่าเป็นจุดใบไม้เปลี่ยนสีที่พีคและสวยที่สุดในทริปนี้ ใบเมเปิ้ลสีแดงสดราวกับพรมสีแดงแบบไม่จำเป็นต้องใช้ฟิลเตอร์ใด ๆ ช่วยเลย ประทับใจมาก
เมื่อเดินขึ้นบันไดขึ้นมาก็จะพบกับผู้คนและเหล่านักปีนเขาจำนวนมากที่แวะเวียนมาสักการะกันวัดโอยามะเดระและรอชมไลท์อัพกัน วัดโอยามะเดระนั้นเป็นวัดอันเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ.755 ซึ่งเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของคนท้องถิ่น นอกจากนี้ พระพุทธรูปที่อยู่ด้านในวัดยังได้รับกำหนดให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญแห่งชาติอีกด้วย
ระหว่างรอชมไลท์อัพ หากใครหิวก็สามารถแวะซื้อขนมมันจูที่หน้าวัดได้ ทางวัดเป็นคนจำหน่ายเองเลย แถมยังสลักคำว่า “วัดโอยามะเดระ” ด้วย น่ารักสุด ๆ ยิ่งช่วงพระอาทิตย์ตกดินอากาศเริ่มเย็นมากขึ้น ลองทานมันจูร้อนๆ ที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ แล้วรู้สึกดีขึ้นเยอะเลยค่ะ
บรรยากาศไลท์อัพกับใบไม้เปลี่ยนสีจะประมาณนี้ สวยมาก ๆ แสงไฟสลัว ๆ สีส้มที่สาดส่องไปที่ใบเมเปิ้ลทำให้บรรยากาศโรแมนติกมากกว่าช่วงกลางวันมาก และคนก็เยอะมากด้วยเช่นกัน แต่ก็คุ้มค่าที่รอมากเลยค่ะ
สำหรับใครที่จำเป็นต้องนั่งรถบัสกลับไปที่สถานี ขอแนะนำให้ตรวจสอบตารางรถไฟขากลับและตารางรถบัสให้ดีเสียก่อน เนื่องจากรอบรถด่วน Romancecar ขากลับไปสถานีชินจูกุตอนกลางคืนเวลาค่อนข้างห่างกัน และอย่าลืมเผื่อเวลาเดินจากสถานีเคเบิลคาร์กลับไปยังป้ายรถบัส และเวลาต่อคิวขึ้นรถบัสด้วยนะคะ ขากลับเราได้นั่ง Romancecar รุ่น EXEα สีขาวเทาเท่สุด ๆ ไปเลย
สุดท้ายนี้ใครที่มีแพลนจะเดินทางมาเที่ยวญี่ปุ่นในปีหน้าล่ะก็อย่าลืมใส่ภูเขาโอยามะลงไปในแพลนเที่ยวกันด้วยนะคะ สำหรับพาสของทางโอดะคิวนั้นยังมีพาสอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพาสเส้นทางเที่ยวฮาโกเน่ (Hakone) เอโนชิมะ (Enoshima) คามาคุระ (Kamakura) เป็นต้น สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมตรวจสอบได้จากหน้าเว็บไซต์ทางการของตั๋วฟรีพาส https://www.odakyu.jp/english/passes/ นะคะ แล้วพบกันใหม่บทความถัดไปค่ะ
©︎Photographer : She with Japan ชีวิตเจแปน
รวมคูปองส่วนลดในญี่ปุ่น https://www.gographjapan.com/category/คูปองส่วนลดญี่ปุ่น/